กรุวัดกุฎีทองอยุธยา

วัดกุฎีทอง ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอพระนครศรอยุธยา จังหวัดพระนครศรอยุธยา เป็นวัดเก่าโบราณ จากหลักฐานอิฐและปูนที่ใช้ก่อสร้างกำแพงแก้วใกล้พระอุโบสถ เป็นอิฐและปูนก่อนสมัยสร้างกรุงศรีอยุธยา เฉกเช่นเดียวกับ วัดพนัญเชิง วัดธรรมิกราช วัดหน้าพระเมรุ 

สมเด็จกรุวัดกุฏีทองอยุธยา

พระกรุวัดกุฎีทองกรุนี้ ตามประวัติที่ค้นหามาได้ พระในกรุส่วนใหญ่เป็นพระ พิมพ์สมเด็จ และมีมากกว่า 50 พิมพ์ และเป็นพิมพ์เส้นด้ายจำนวนมากกว่า ซึ่งเป็นฝีมือการแกะพิมพ์แบบชาวบ้าน มวลสารในเนื้อพระจะหนักไปทางเนื้อปูนขาวผสมผงก้านธูป และเปลือกหอย มีคราบกรุฟองเต้าหู้และคราบดินทรายเกาะติดอยู่ มีทั้งสีขาว เหลืองอ่อน สีออกครีม สีน้ำตาลอ่อน สีเขียวอ่อนแบบธูปเขียว และสีเขียวหินลับมีด ซึ่งหายาก เพราะมีจำนวนน้อย เอกลักษณ์ของพระกรุวัดกุฎีทองอยุธยาที่สำคัญ คือ จะมีเนื้อทองคำเป็นชิ้นๆฝังอยู่ที่ด้านหน้าองค์พระและสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งจำนวนชิ้นทองคำนั้นในแต่ละองค์ก็มีจำนวนชิ้นที่ไม่แน่นอน บางองค์อาจจะไม่มี แต่ถ้ามีก็มีตั้งแต่ 3,5,7 จนถึง 9 ชิ้นเลยก็ยังมี ซึ่งอาจจะพบเจอได้ยาก เนื่องจากมีจำนวนน้อย 

สำหรับแผ่นทองคำที่พบเห็นในเนื้อขององค์พระกรุวัดกุฎีทองนี้ สันนิษฐานว่า เป็นการนำเอาแผ่นทองคำที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงหุ้มกุฏิถวายพระอาจารย์ดี หลังจากได้ทรงขึ้นครองราชย์ตามคำทำนาย ต่อมาภายหลังเมื่อกุฏิหลังดังกล่าวได้ชำรุดผุพังลงตามกาลเวลา แต่แผ่นทองคำก็ยังมิได้ผุพังลงไปด้วย บุรพาจารย์ทั้งสองท่านคือ หลวงปู่แสงและสมเด็จพระพุฒาจารย์โต จึงได้ดำรินำมาฝังไว้บนองค์พระ เพื่อให้ผู้คนได้จดจำ บูชากราบไหว้

สมเด็จกรุวัดกุฏีทองอยุธยา

สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งท่านมีพระนามเดิมว่า พระองค์ไลย เป็นโอรสของพระสมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งเกิดกับนางอิน สามัญชนธรรมดาชาวบ้านบางปะอิน ในขณะที่ทรงเป็นพระมหาอุปราชได้ประพาสลำน้ำบางปะอินและเกิดพายุฝนฟ้าคะนองทำให้ต้องติดอยู่บนเกาะบางปะอิน ทำให้ได้พบกับนางอิน และเกิดบุตรชายขึ้น สมเด็จพระเอกาทศรถจะรับเป็นพระโอรสก็ละอายพระทัยจึงทรงให้ออกญาศรีธรรมาธิราชรับไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เริ่มต้นรับราชการเป็นมหาดเล็ก ซึ่งวันหนึ่ง พระองค์ไล มีความประสงค์อยากรู้ดวงชะตาราศีของท่าน จึงได้มาที่วัดกุฎีทองเพื่อให้อาจารย์ดี (หลวงพ่อดี) เจ้าอาวาสช่วยตรวจดูดวงชะตาของพระองค์ พระองค์ได้เดินทางข้ามฝากที่ท่าสิบเบี้ย ถึงวัดเป็นเวลาเกือบเพล ขณะนั้น อาจารย์ดีกำลังนั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในกุฏิ พระองค์ไลจึงออกไปนั่งรออยู่ที่ศาลาท่าน้ำ เมื่อถูกลมพัดเย็นๆ ก็ลืมองค์เอนกายลงนอนหลับไป จนกระทั่งได้ยินเสียงเด็กวัดตีกลองเพล ตื่นขึ้น เมื่อท่านอาจารย์ดีฉันเพลแล้วพระองค์ไล ได้ยินท่านอาจารย์ดีพูดกับเด็กวัดว่า "วันนี้มีผู้มีบุญมาที่วัดเรา" เด็กวัดจึงถามว่า "กระผมไม่เห็นมีผู้ใดขี่ม้าขาว แต่งเครื่องเต็มยศ หรือขึ้นคานหามมีขบวนแห่ ที่ไหนมาในวัดเราเลยขอรับหลวงพ่อ"

ท่านอาจารย์ดีจึงตอบว่า "ที่นั่งรออยู่ที่ศาลาท่าน้ำนั่นแหละ ผู้มีบุญนัก ไปตามมาหาหลวงพ่อไวๆ" เมื่อเด็กวัดไปตามพระองค์ไลมาพบแล้ว ท่านก็ถามพระองค์ไลถึงความประสงค์ที่มาวัด พระองค์ไลก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า"ข้าฯ ต้องการมาตรวจดวงชะตา แล้วที่อาจารย์พูดกับเด็กว่า ผู้มีบุญมาที่วัดกระนั้นรึ เป็นใครที่ไหนรึ ขอรับอาจารย์"

หลวงพ่อตอบว่า "ก็....พ่อหนุ่มนี่แหละ" พระองค์ไลทรงประหลาดใจจึงถามต่อไปอีกว่า "อาจารย์ยังไม่ได้ตรวจดูดวงชะตาของข้าฯ เลย แล้วจะรู้ได้เช่นไร.." หลวงพ่อตอบว่า "ได้ยินเสียงกรน เมื่อนอนหลับอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ เสียงดังเหมือนฆ้องไชยดังหึ่มๆ นั่นแหละตามตำราว่า เสียงของผู้มีบุญนัก" ต่อจากนั้นพระองค์ไลก็กราบเรียนแจ้ง วัน เดือน ปีเกิด ให้หลวงพ่อทราบ เมื่อหลวงพ่อผูกดวงแล้วถึงกับสะดุ้ง และนั่งนิ่งไปพักใหญ่ พระองค์ไลกราบเรียนถามว่า "อาจารย์นิ่งอยู่ด้วยเหตุอันใดขอรับ" เมื่อพระองค์ไลกราบเรียนซักถามบ่อยครั้งขึ้น หลวงพ่อก็ค่อยๆ กระซิบบอกขณะที่ไม่มีผู้อื่นในที่นั้น "อย่าได้เอ่ยที่ใดเป็นอันขาด เมื่อถึงกาลเหมาะสมไม่นาน พ่อหนุ่มจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน" ในสมัยก่อนนั้น การพูดเกี่ยวกับ"พระเจ้าแผ่นดิน" เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย หากทำนายออกไปว่าใครจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินหมายถึงคนคิดการใหญ่ อาจจะถูกหาว่า เป็นกบฎ ภัยจะมาถึงตัว ทำให้พูดยาก อาจารย์ดีจึงนั่งนิ่งไปพักใหญ่ พระองค์ไล ค้านขึ้นว่า "เรื่องนี้ข้าฯ เห็นไม่เป็นเช่นนั้น เพราะสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมนั้น ทรงมีพระมหาอุปราชพระปิตุลา เป็นองค์รัชทายาท อีกทั้งพระเชษฐาธิราช ก็เป็นพระราชโอรส" หลวงพ่อก็ยืนยันว่า "ตามดวงชะตาราศีของท่าน บ่งบอกชัดเจนกระนั้นเชียว ว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินแน่ ถึงแม้จะมีองค์รัชทายาทอยู่ก็ตาม " พระองค์ไลจึงพูดเป็นคำสัญญาว่า "หากข้าฯได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแน่นอนจริงๆ แล้วไซร้จะสนองพระคุณอาจารย์ จะหุ้มทองกุฏิให้ทั้งหลัง เป็นความสัจ" ทั้งที่ยังไม่ใคร่จะเชื่อ และไม่แน่พระทัยนัก

สมเด็จกรุวัดกุฏีทองอยุธยา

กาลเวลาต่อจากนั้นมาจนถึงปี พุทธศักราช 2173 พระองค์ไลได้ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ครองราชย์สมจริงตามคำทำนายของพระอาจารย์ดี พระเจ้าประสาททอง จึงสั่งให้ช่างหลวงมาปิดทองที่กุฏิท่านอาจารย์ดี เป็นทองทั้งหลัง ในส่วนของอาราม พระเจ้าประสาททองได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่บางส่วน โดยก่อกำแพงแก้วรอบนอกชั้นล่างห่างออกมาอีก มีขนาดกว้างประมาณ 60 เมตร ยาวประมาณ 80 เมตร โคกกำแพงแก้วด้านพระอุโบสถร่วมในสูง 3 วาเศษ เป็นของเก่า ส่วนร่วมหน้าพระอุโบสถนั้น กว้าง 12 เมตร ยาว 24 เมตร ประตูด้านหน้า 2 ช่อง ด้านหลัง 2 ช่อง หน้าต่างด้านตะวันออก และตะวันตก อีกด้านละ 3 ช่อง

ประวัติในส่วนของพระพิมพ์สมเด็จกรุวัดกุฎีทอง ที่เกี่ยวพันกับสมเด็จโต นั้นมีกล่าวไว้ดังนี้ ในช่วงรัชกาลที่ 3 สมเด็จฯ ท่านทรงอุบายหนีการแต่งตั้งสมณะศักดิ์ โดยออกธุดงค์มาจำพรรษาอยู่ กับพระอาจารย์ แสง ในอยุธยา (สันนิฐานว่าคือวัดกุฎีทอง) โดยได้สร้างพระผงพิมพ์เส้นด้าย บรรจุกรุ (เป็นพระที่ท่านสร้างก่อนที่จะได้รับสมณะศักดิ์สมเด็จฯ)ไว้ร่วมกับพระพิมพ์อื่นๆ ของพระอาจารย์แสง มีข้อสันนิฐานว่าพระพิมพ์เส้นด้ายกรุวัดกุฎีทองนี้ คือต้นแบบที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านนำไปสร้างพระสมเด็จพิมพ์ต่างๆ ของวัดระฆัง

ที่มา: ประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์โตในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระพิมพ์ สมเด็จวัดกุฎีทอง พระนครศรีอยุธยา โดย พ.ท.สวัสดิ์ บุศราคำ ประวัติวัดกุฎีทอง ค้นคว้าโดย ครูหวล สุมาลัย รวบรวม เรียบเรียงโดย ชูศักดิ์ ศุภวิไล

ต่อมาก่อนปีพุทธศักราช 2395 จากหนังสือเกี่ยวกับประวัติสมเด็จพุฒาจารย์ (โต ) พรหมรังษี ผู้เขียนหลายท่านได้เขียนตรงกันว่า

"..ต่อมาในภายหลัง ได้เข้าศึกษามายาศาสตร์ต่อที่สำนักพระอาจารย์แสง จังหวัดลพบุรีอีกองค์หนึ่ง ....ขรัวแสง คนทั้งปวงนับถือกันว่าเป็นผู้มีวิชา เดิมตั้งแต่เมืองลพบุรีเข้าลงไปเพลที่กรุงเทพฯ ได้ เป็นคนกว้างขวาง เจ้านายขุนนางรู้จักหมด ได้สร้างพระเจดีย์สูงไว้องค์หนึ่งที่วัดมณีชลขันธ์ คือวัดเกาะ ซึ่งเจ้าพระยายมราช (เฉย) ต้นสกุล ยมาภัย สร้าง) ตัวไม่ได้อยู่ที่วัดนี้ หน้าเข้าพรรษาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอื่น ถ้าถึงออกพรรษาแล้วมาปลูกโรงอยู่ริมพระเจดีย์ 2 องค์นี้ ซึ่งก่อเองคนเดียวไม่ยอมให้คนอื่นช่วย ราษฎรที่นับถือพากันช่วยเรี่ยไรอิฐปูน และพระเจดีย์องค์นี้เจ้าของจะทำแล้วเสร็จตลอดไป หรือจะทิ้งผู้อื่นช่วย เมื่อตายแล้ว ไม้ได้ถามดู ของเธอก็สูงดีอยู่....."

จากหลักฐานดังกล่าวข้างต้นนี้ แสดงว่าเจ้าพระคุณสมเด็จ ได้หนีการแต่งตั้งสมณะศักดิ์ ธุดงค์มาพำนักอยู่ต่างจังหวัดกับพระอาจารย์แสง พระเครื่องในกรุวัดกุฎีทองนี้จึงมีพระศิลปะลพบุรี ที่หลวงปู่แสงสร้างใส่กรุปรากฏให้เห็นด้วย