Levi's Big E คืออะไร?
มาฟังเรื่องราวของ Levi's Big E กัน! นี่ไม่ใช่แค่ยีนส์ธรรมดา แต่เป็นตำนานที่นักสะสมและคนรักเดนิมทั่วโลกต่างตามหา ผมจะเล่าให้ฟังแบบเพื่อนเล่าให้เพื่อนฟัง รับรองว่าเข้าใจง่าย ไม่ต้องมีศัพท์เทคนิคอะไรให้ปวดหัวเลยครับ
จุดเริ่มต้นของตำนาน: ยุคก่อน Big E
ก่อนที่เราจะไปถึงจุดที่เรียกว่า "Big E" เราต้องเข้าใจก่อนว่า Levi's ในยุคแรก ๆ นั้นทำอะไรมาบ้าง สมัยก่อนนู้นนน... ประมาณต้นศตวรรษที่ 20 Levi's คือผู้บุกเบิกกางเกงยีนส์สำหรับคนงานเหมือง คนงานรถไฟ หรือใครก็ตามที่ต้องการเสื้อผ้าที่ทนทานโคตร ๆ ไม่ต้องสนแฟชั่นอะไรทั้งนั้น ขอแค่ใส่แล้วไม่ขาดก็พอแล้ว
ยีนส์ Levi's ในยุคนั้นถูกผลิตมาแบบเน้นฟังก์ชันล้วน ๆ ผ้าเดนิมที่ใช้ก็หนาหนัก เย็บตะเข็บแบบทนทานสุด ๆ สิ่งที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของ Levi's มาตั้งแต่แรกเลยก็คือ Red Tab หรือป้ายแดง ๆ เล็ก ๆ ที่เย็บติดอยู่ตรงกระเป๋าหลังด้านขวาเนี่ยแหละครับ แรก ๆ เลยเนี่ย Levi's ทำ Red Tab ขึ้นมาเพื่อแยกตัวเองออกจากแบรนด์อื่น ๆ ที่เริ่มทำกางเกงยีนส์เลียนแบบ เพราะสมัยก่อนไม่มีเครื่องหมายการค้าอะไรแบบชัดเจนเหมือนสมัยนี้ เขาก็เลยคิดว่า "เออ ทำป้ายแดง ๆ เล็ก ๆ นี้ขึ้นมา คนจะได้รู้ว่านี่คือของแท้ Levi's นะ!"
ยุคทองของ Levi's และกำเนิด Big E
มาถึงช่วงสำคัญแล้วครับ ยุคที่ Levi's ยังคงผลิตกางเกงยีนส์ด้วยความพิถีพิถัน และยังไม่เน้นการลดต้นทุนการผลิตเหมือนปัจจุบัน ช่วงเวลาที่เราพูดถึงนี้คือ ก่อนปี 1971 ครับ กางเกงยีนส์ Levi's ที่ผลิตในช่วงก่อนปี 1971 ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 501, 505, หรือรุ่นไหน ๆ ก็ตาม จะมีสิ่งที่เรียกว่า "Big E" อยู่บน Red Tab ครับ
"Big E" ที่ว่านี้ก็คือตัวอักษร "E" บนป้าย Red Tab ครับ ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าตัว "L", "E", "V", "I", "S" บน Red Tab ของ Levi's ที่ผลิตก่อนปี 1971 เนี่ย ตัว "E" จะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่หมดเลย หรือที่เรียกกันว่า CAPITAL E ครับ
ทำไมถึงเป็น Big E ล่ะ? คำตอบง่าย ๆ เลยก็คือ สมัยนั้น Levi's ยังไม่คิดมากครับ ก็แค่พิมพ์ตัวอักษรใหญ่หมดทุกตัวนั่นแหละ ไม่มีเจตนาพิเศษอะไรเลย แต่พอเวลาผ่านไป เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้กลับกลายเป็นจุดสังเกตสำคัญที่ทำให้นักสะสมแยกระหว่างของเก่ากับของใหม่ได้
ความแตกต่างที่สำคัญ: Big E vs. Small e
แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยนล่ะ? จุดเปลี่ยนสำคัญคือ ปี 1971 ครับ หลังจากปีนั้น Levi's ตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบตัวอักษรบน Red Tab ครับ จากที่เคยเป็นตัวพิมพ์ใหญ่หมด (LEVIS) ก็เปลี่ยนมาเป็นตัวพิมพ์เล็กในตัว "e" ตัวเดียว (LeVI'S) ครับ
ทำไมถึงเปลี่ยนล่ะ? มีหลายเหตุผลครับ แต่เหตุผลหลัก ๆ เลยก็คือเรื่องของการ ลดต้นทุนการผลิต ครับ การผลิตผ้าที่ปักตัวอักษรแบบใหม่นี้อาจจะง่ายกว่า ถูกกว่า หรืออาจจะเป็นเรื่องของการรีแบรนด์เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้แหละที่ทำให้เกิดคำว่า "Big E" ขึ้นมา เพราะมันเป็นจุดที่แบ่งแยกยีนส์วินเทจแท้ ๆ ออกจากยีนส์ที่ผลิตหลังจากปี 1971 อย่างชัดเจน
ลองนึกภาพดูสิครับ กางเกงยีนส์ Levi's ที่ผลิตก่อนปี 1971 มีจำนวนจำกัด และไม่ได้ผลิตมามากมายมหาศาลเหมือนสมัยนี้ แถมยังมีเรื่องของการใช้งานที่ทำให้มันสึกหรอไปตามกาลเวลาอีก ดังนั้น ยีนส์ Levi's Big E จึงหายากขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มูลค่าของมันพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
เสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ใน Big E
นอกจากความหายากแล้ว อะไรคือเสน่ห์ที่ทำให้ Big E พิเศษนักล่ะ?
-
คุณภาพของผ้าเดนิม: ยีนส์ Big E มักจะใช้ผ้าเดนิมที่มีคุณภาพสูงกว่าในยุคปัจจุบันครับ สังเกตได้จากความหนา ความทนทาน และที่สำคัญคือ เฟด (Fade) หรือรอยสีซีดที่เกิดขึ้นจากการสวมใส่และซักล้างครับ ยีนส์ Big E จะให้เฟดที่สวยงาม มีมิติ และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของผู้สวมใส่แต่ละคน ซึ่งยีนส์สมัยใหม่หลายตัวก็ยังทำเฟดได้ไม่เหมือนเท่าไหร่
-
รายละเอียดการผลิต: Levi's Big E จะมีรายละเอียดการผลิตบางอย่างที่แตกต่างจากยีนส์สมัยใหม่ เช่น การเย็บตะเข็บ การใช้กระดุม หรือแม้แต่การวางตำแหน่งของห่วงร้อยเข็มขัด รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้แหละที่ทำให้ Big E มีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง และแสดงให้เห็นถึงความพิถีพิถันในการผลิตในยุคนั้น
-
เรื่องราวและประวัติศาสตร์: การได้ครอบครองยีนส์ Big E ก็เหมือนกับการได้ครอบครองชิ้นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ครับ กางเกงยีนส์ตัวหนึ่งอาจจะผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย อาจจะเคยถูกใส่โดยคนงานเหมืองในยุคตื่นทอง หรือคนขับรถบรรทุกที่ข้ามผ่านอเมริกาในยุคเก่า การได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นผ่านยีนส์เพียงตัวเดียวมันคือความรู้สึกที่หาซื้อที่ไหนไม่ได้เลยครับ
การตามหาและดูแล Big E
สำหรับคนที่อยากจะครอบครอง Levi's Big E สักตัว การตามหาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ ส่วนใหญ่แล้วจะหาได้ตามร้านขายเสื้อผ้าวินเทจ หรือตามตลาดนัดวินเทจใหญ่ ๆ หรือแม้กระทั่งบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ครับ แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ ของปลอม ครับ เพราะด้วยมูลค่าที่สูงขึ้น ทำให้มีคนทำของปลอมออกมาเยอะมาก
วิธีดูคร่าว ๆ: นอกจาก Red Tab ที่เป็น Big E แล้ว ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่ต้องดู เช่น ตะเข็บหลังที่มักจะเย็บแบบตะเข็บเดี่ยว (Single Stitch) ในบางรุ่น กระดุมที่ปั๊มเบอร์ หรือหมุดย้ำ (Rivet) ที่เป็นทองแดง เหล่านี้เป็นจุดสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในการดูครับ
เมื่อได้ Big E มาแล้ว การดูแลรักษาก็สำคัญไม่แพ้กันครับ ยีนส์วินเทจเหล่านี้เปรียบเสมือนของเก่าแก่ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ การซักล้างควรทำอย่างเบามือ และไม่ควรซักบ่อยเกินไป เพื่อรักษาสภาพของผ้าและเฟดให้คงอยู่กับเราไปนาน ๆ
บทสรุปของตำนานที่ไม่เคยจางหาย
Levi's Big E ไม่ได้เป็นแค่กางเกงยีนส์ แต่เป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัย คุณภาพ และความหลงใหลในเดนิมครับ มันคือตัวแทนของความดั้งเดิม ความทนทาน และเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในเส้นใยทุกเส้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน Big E ก็ยังคงเป็นที่ต้องการและเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานกันต่อไปในหมู่คนรักยีนส์ทั่วโลก
หวังว่าเพื่อน ๆ จะเข้าใจเรื่องราวของ Big E มากขึ้นนะครับ ถ้ามีโอกาสได้เจอ Big E ตัวจริง ลองสัมผัสดูสิครับ แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นตำนานที่ไม่เคยจางหายไปไหนเลย